-
ภาชนะดินเผาสีดำ ลายขูดขีด อยู่ในวัฒนธรรมบ้านเชียงสมัยต้น
ระยะเริ่มแรก มีอายุราว 4,100 ปี
โดยส่วนใหญ่ในสมัยนี้ภาชนะมักมีเป็นสีดำ
ลักษณะรูปทรงเป็นหม้อก้นกลม เชิงหรือฐานเตี้ย
ส่วนบนของภาชนะตกแต่งด้วยเส้นลายขูดขีดเป็นลายขด
และลายกดประทับ ครึ่งล่างมักตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ
-
ภาชนะดินเผาวัฒนธรรมบ้านเชียงสมัยต้น ระยะที่ 3
มีอายุประมาณ 4,000–3,500 ปี พบที่อำเภอหนองหาน
จังหวัดอุดรธานี โดยในยุคนี้เริ่มมีภาชนะที่ด้านข้างตรง
หรือเกือบตรง และภาชนะที่ตกแต่งด้วยลายเชือกทาบทั้งใบ
ส่วนคอภาชนะตั้งตรง และมีทั้งแบบก้นกลมและมีเชิง
-
ภาชนะดินเผา ลำตัวเป็นสัน สีดำขัดมัน เป็นลักษณะของ
ภาชนะพบที่แหล่งโบราณคดีบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี
มีอายุประมาณ 4,000-3,500 ปี
-
ภาชนะดินเผาแบบพิเศษ รูปทรงคล้ายการนำภาชนะดินเผา
ทรงก้นกลม 2 ใบ มาเชื่อมต่อกัน ตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ
ขนาดเล็ก พบในพื้นที่ราบลอนลูกคลื่นภาคกลาง
แหล่งโบราณคดีบ้านใหม่ชัยมงคล อำเภอตาคลี
จังหวัดนครสวรรค์ อายุประมาณ 4,500-3,500 ปี
-
ภาชนะดินเผาทรงหม้อมีเชิง ตกแต่งผิวภาชนะด้วยการ
ทาน้ำดินสีแดง เป็นหนึ่งในรูปแบบของเครื่องปั้นดินเผา
บริเวณที่ราบลอนลูกคลื่นภาคกลาง ระยะที่ 1 อายุประมาณ
4,500-3,500 ปี พบที่แหล่งโบราณคดีบ้านชอนตะเคียน
อำเภอหนองม่วง จังหวัดลพบุรี และบ้านซับดีปลี
อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี
-
ภาชนะดินเผาทรงหม้อหรือไห ตกแต่งด้วยลายเส้นคดโค้ง
ผสมกับลายกดประทับด้วยไม้พันเชือก ทาน้ำดินสีแดงที่ปาก
และไหล่ภาชนะ และมีปุ่มเล็กๆ คล้ายเขาสัตว์ อายุประมาณ
3,500–2,700 ปี พบในพื้นที่ราบลอนลูกคลื่นภาคกลาง
ซึ่งเป็นพื้นที่แนวยาววางตัวตาม
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้
ระหว่างอำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี และอำเภอตาคลี
จังหวัดนครสวรรค์
-
ภาชนะดินเผาลวดลายจักสาน รูปทรงคล้ายกระบุง
หนึ่งในรูปแบบของเครื่องปั้นดินเผาบริเวณที่ราบลอนลูกคลื่น
ภาคกลาง ระยะที่ 2 ลวดลายบนภาชนะดินเผาเกิดจาก
การใช้เครื่องจักสานเป็นแบบในการขึ้นรูปภาชนะ
เมื่อนำไปเผาเครื่องจักสานจะไหม้สลายไป เหลือเฉพาะลาย
ปรากฏบนภาชนะ อายุประมาณ 3,500–2,700 ปี
พบที่แหล่งโบราณคดีบ้านใหม่ชัยมงคล อำเภอตาคลี
จังหวัดนครสวรรค์
-
ภาชนะดินเผารูปวัว เป็นหนึ่งในรูปแบบของเครื่องปั้นดินเผา
บริเวณที่พบในบริเวณที่ราบลอนลูกคลื่นภาคกลาง ระยะที่ 2
พบที่แหล่งโบราณคดีบ้านใหม่ชัยมงคล อำเภอตาคลี
จังหวัดนครสวรรค์ เป็นภาชนะดินเผาที่มีรูปทรงและการตกแต่ง
ด้วยเทคนิคใหม่ อายุประมาณ 3,500–2,700 ปี
(ภาชนะใบนี้จำลองจากภาชนะที่พบในแหล่งโบราณคดี
บ้านใหม่ชัยมงคล เพื่อใช้จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์)
-
ภาชนะดินเผาเขียนลวดลายสีแดง อยู่ในวัฒนธรรมบ้านเชียง
สมัยปลาย มีอายุราว 2,300-1,700 ปี ลักษณะรูปทรงภาชนะ
มักมีปากผาย มีเชิงสูง ตกแต่งด้วยการเขียนลวดลายสีแดง
บนพื้นนวล สีที่ใช้เขียนเรียกว่า “สีดินเทศ” ลวดลายที่เขียน
ส่วนใหญ่เป็นลายเรขาคณิต ลายสี่เหลี่ยม ลายวงกลม
ลายก้านขด และลายก้นหอย
-
ลูกกลิ้งดินเผา พบเฉพาะในวัฒนธรรมบ้านเชียง
และพบเป็นจำนวนมากในวัฒนธรรมบ้านเชียงสมัยปลาย
สันนิษฐานว่า ลูกกลิ้งอาจใช้ทำลวดลายบนผ้าหรือภาชนะดินเผา
โดยนำลูกกลิ้งจุ่มสี แล้วนำไม้หรือโลหะ เสียบเข้าไปที่รู
ทางหัว-ท้ายของลูกกลิ้ง จากนั้นกดลงบนผ้าหรือภาชนะ
นอกจากนี้ อาจมีการใช้ลูกกลิ้งดินเผาเป็นตราประทับ
เครื่องประดับ หรือเครื่องรางของขลัง เนื่องจากพบ
ลูกกลิ้งดินเผาอยู่บริเวณทรวงอกของโครงกระดูกในหลุมฝังศพ
ด้วย
-
ภาชนะดินเผาแบบพิเศษ อายุประมาณ 2,700–2,300 ปี
เป็นเครื่องปั้นดินเผาที่พบในบริเวณที่ราบลอนลูกคลื่นภาคกลาง
ระยะที่ 3 มีรูปทรงขอบปากที่หลากหลาย ผิวด้านนอกขัดมัน
และมักตกแต่งด้วยการกดประทับ และขูดขีดเป็นลวดลายคดโค้ง
สันนิษฐานว่าใช้เป็นภาชนะสำหรับหมักปลา พบที่แหล่ง
โบราณคดีบ้านพุนกยูง อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์
-
ตราประทับดินเผา รูปเทพกุเวร เป็นหนึ่งในหลักฐานทาง
โบราณคดีของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอายุกว่า
2,000 ปี ลักษณะเป็นรูปบุรุษประทับนั่ง พระอุทร หรือพุง
ใหญ่พลุ้ย ถือถุงเงิน ด้านหลังมีหม้อเงินหม้อทองอยู่ข้างซ้าย
และข้างขวา ทั้งนี้ เทพกุเวร เป็นเทพชั้นรองในนิกายบูชา
พระศิวะหรือไศวนิกายของศาสนาพราหมณ์ฮินดู
เป็นเทพผู้พิทักษ์ทรัพย์ในดินและราชาหรือกษัตริย์ของเหล่า
ยักษ์ นำความมั่งคั่งร่ำรวยมาสู่ผู้บูชา จึงเป็นเครื่องรางของขลัง
ของเหล่าพ่อค้าวาณิช และชาวอินเดียโบราณที่เดินทางข้าม
มหาสมุทรเข้ามาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนในดินแดนสุวรรณภูมิ
เพื่อแสวงโชคจากการค้าขายในโลกใหม่
-
ตะเกียงดินเผา สมัยวัฒนธรรมทวารวดี มีอายุระหว่าง
พุทธศตวรรษที่ 10-17 เผาด้วยอุณหภูมิต่ำกว่า 1,100
องศาเซลเซียส เชื่อว่าได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียและโรมัน
และพัฒนาจนมีรูปแบบเป็นของตนเอง พบแพร่หลายในกลุ่ม
จังหวัดภาคกลางแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ท่าจีน แม่กลอง
-
ภาชนะดินเผาทรงกระปุกเคลือบสีน้ำตาล เป็นเครื่องปั้นดินเผา
ในวัฒนธรรมร่วมแบบเขมร พบแหล่งผลิตในจังหวัดบุรีรัมย์
มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-19 เป็นภาชนะดินเผา
ที่ทำขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และแสดงฐานะ
ทางสังคม รวมถึงตอบสนองความเชื่อ พิธีกรรม และสะท้อน
คติความเชื่อทางศาสนาที่เขมรรับมาจากอินเดีย แล้วส่งอิทธิพล
ทางวัฒนธรรมต่อประเทศไทย
-
ภาชนะดินเผาทรงไหเท้าช้าง เคลือบสีน้ำตาล
มีลักษณะหนาและหนัก ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษ
ของเครื่องปั้นดินเผาวัฒนธรรมร่วมแบบเขมร
ตกแต่งด้วยลวดลายขูดขีด พบแหล่งผลิตในจังหวัดบุรีรัมย์
มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-19
-
ภาชนะดินเผาทรงแจกัน เคลือบสีเขียว หรือที่เรียกกันว่า
ศิลาดล เขียนลายสีดำใต้เคลือบ
เป็นเครื่องปั้นดินเผาชนิดเนื้อแกร่ง
จากแหล่งเตาเผาศรีสัชนาลัย หรือเมืองสวรรคโลกเก่า
อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
-
ภาชนะดินเผาทรงแจกัน เป็นเครื่องปั้นดินเผาชนิดเนื้อแกร่ง
จากแหล่งเตาเมืองสุโขทัยเก่า ตำบลเมืองเก่า
อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย
บริเวณคอภาชนะดินเผามีลวดลายที่เกิดจาก
การปั้นดินติดเติมลงบนภาชนะเป็นลวดลายต่างๆ
-
ภาชนะดินเผาทรงคนโท หรือ กุณโฑ ลักษณะคล้ายขวด
เคลือบน้ำดินสีส้ม เขียนลวดลายสีดำเป็นลายพันธุ์พฤกษา
เป็นภาชนะดินเผาจากกลุ่มเตาเผาสมัยหริภุญไชย
ซึ่งผลิตขึ้นเพื่อใช้สำหรับใส่น้ำ แต่ไม่มีพวยยื่นออกมาตรงส่วน
กลางเหมือนกุณฑี จึงใช้วิธีรินน้ำโดยยกเอียงให้น้ำไหลออก
ทางปากของภาชนะ
-
ภาชนะดินเผาทรงอ่าง บริเวณไหล่ตกแต่งด้วยลายกดประทับ
ผลิตจากเตาเผาบ้านบางปูน ซึ่งมีอายุในสมัยอยุธยาตอนต้น
ราวพุทธศตวรรษที่ 18-20 ภาชนะดินเผาจากเตาเผา
บ้านบางปูน มักมีเนื้อแกร่งคล้ายหิน เพราะเผาด้วยอุณหภูมิ
ระหว่าง 1,200-1,350 องศาเซลเซียส
ทำให้เนื้อดินหลอมละลายติดกัน น้ำไม่สามารถซึมผ่านได้
-
ภาชนะดินเผาทรงชาม เคลือบสีเขียวอ่อน
เป็นภาชนะเนื้อแกร่งชนิดเคลือบ ลักษณะปากบานออก
สันนิษฐานว่าเป็นเครื่องปั้นดินเผาสมัยล้านนา อายุราว
พุทธศตวรรษที่ 19-20 ซึ่งผลิตขึ้นเพื่อใช้ในชุมชนและส่งไป
จำหน่ายยังเมืองต่างๆ
-
ภาชนะดินเผาทรงไห เนื้อแกร่ง ขอบปากซ้อนกัน 2 ชั้น
เคลือบสีน้ำตาล พบมากในชุมชนโบราณแอ่งสกลนคร
หรือลุ่มแม่น้ำสงคราม ซึ่งเป็นลุ่มน้ำสำคัญของ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และเป็นชุมชนร่วมสมัยกับ
อาณาจักรล้านช้าง ช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-21 มีการขึ้นรูป
ด้วยการใช้แป้นหมุน สันนิษฐานว่าเป็นภาชนะที่ใช้ในการหมัก
ปลา บริเวณขอบปากอาจใส่ขี้เถ้าเพื่อป้องกันแมลงวัน
-
กระเบื้องเชิงชาย เป็นเครื่องประกอบสถาปัตยกรรม
ทำด้วยดินเผา ตกแต่งด้วยลายพันธุ์พฤกษา ผลิตจาก
แหล่งเตาแม่น้ำน้อย จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งเป็นเตาผลิต
เครื่องปั้นดินเผาสมัยอยุธยา ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 21-23
ตั้งอยู่ที่วัดพระปรางค์ บ้านโคกหม้อ ตำบลเชิงกลัด
อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี
-
ภาชนะดินเผาก้นโค้งมน หรือ หม้อตาล
เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ชาวบ้านประดิษฐ์คิดค้นขึ้นเพื่อใส่
น้ำตาลโตนดและน้ำตาลมะพร้าว รูปทรงคล้ายหมวกหงาย
ก้นและปากภาชนะผายเท่ากัน และมีคอหยักพอให้จับถนัดมือ
สันนิษฐานว่าเป็นเครื่องปั้นดินเผาที่ผลิตขึ้นในสมัยอยุธยา
ราวพุทธศตวรรษที่ 21-23
-
กลองมโหระทึก เป็นศิลปโบราณวัตถุที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม
ทางความเชื่อ พบในวัฒนธรรมดองซอน หรือ ดงเซินใน
เวียดนาม ก่อนจะแพร่กระจายไปทางจีนตอนใต้และ
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนหนึ่งของอาเซียนในปัจจุบัน
ลักษณะเป็นกลองหน้าเดียว รูปทรงกระบอก ตรงกลางคอด
เล็กน้อย ส่วนฐานกลวง มีหูหล่อติดข้างตัวกลอง 2 คู่ สำหรับ
ร้อยเชือกหามหรือแขวนกับหลัก โดยมักมีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน
ออกไปตามรูปแบบและความเชื่อในแต่ละท้องถิ่น บ้างเรียก
กลองสำริด บ้างก็เรียกกลองกบ ตามที่มีรูปกบตัวเล็กตัวน้อย
ประดับอยู่บนหน้ากลอง
วัฒนธรรมการใช้กลองมโหระทึกในประเทศไทย
ใช้เป็นเครื่องประโคมพร้อมแตร ประกอบพระราชอิสริยยศ
เมื่อเสด็จออกขุนนางหรือเสด็จออกมหาสมาคม
นำเสด็จพระราชดำเนินกระบวนน้อย ทั้งทางบก ทางเรือ
และประโคมในการจรดพระนังคัลแรกนาขวัญสืบเนื่องมา
จนถึงปัจจุบัน
-
ก่าบาง นับเป็นเรือที่มีความผูกพันกับชีวิตของชาวมอแกน
มาอย่างยาวนาน เนื่องจากเป็นทั้งพาหนะที่ใช้ในการทำมาหากิน
เป็นที่พักอาศัย และบ่อยครั้งที่ก่าบางเป็นที่เกิดและที่ตาย
ของชาวมอแกน
ก่าบาง สร้างจากไม้ระกำทั้งลำต้น นำไปเผาไฟแล้วขุดท้องเรือ
เป็นรูปจะงอย ตามภูมิปัญญาของชาวมอร์แกน
มีเอกลักษณ์โดดเด่นตรงที่เรือทั้งลำจะไม่ใช้ตะปูแม้เพียงตัวเดียว
แต่จะใช้ไม้หมากผ่าแหลมและเถาวัลย์
เป็นตัวยึดระหว่างซี่ไม้แทน
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่ง คือ “ง่าม” หรือรอยหยักเว้าที่หัวและ
ท้ายเรือ สำหรับใช้เป็นที่ปีนก้าวขึ้น-ลงเรือ และใช้เป็นที่จับยึด
ในการลากเรือขึ้น-ลงหาด
จากอดีตที่โลดแล่นอยู่บนผืนน้ำกลางมหาสมุทร แต่วันนี้ก่าบาง
ของชาวมอแกนกำลังจะสูญหายไป ชาวบ้านจึงได้มีแนวคิด
ในการผลิตก่าบางเป็นของที่ระลึก เพื่อให้ชาวมอแกนรุ่นหลัง
ตลอดจนทุกคน ได้รู้จัก จดจำ และอนุรักษ์เรือก่าบางเอาไว้
ไม่ให้เลือนหายไปพร้อมกับวิถีชีวิตของชาวมอแกน
ที่เปลี่ยนแปลงไป